อัลมอนด์ (Almond) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนการสูง จนถูกยกให้เป็น 1 ใน 10 ซุปเปอร์ฟู้ด ก่อนที่จะรู้ว่า ประโยชน์ของอัลมอนด์ มีอะไรบ้าง เราไปดูลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของอัลมอนด์กันก่อน
อัลมอนด์เป็นพืชตระกูลเดียวกับพรุน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prunus amygdalus (Prunus dulcis) เป็นพืชพื้นเมืองของตะวันออกกลาง เอเชียตอนใต้และแอฟริกาเหนือ เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงประมาณ 390-990 เซนติเมตร ผลของอัลมอนด์นั้นจะมีลักษณะเป็นผลเดี่ยว แบบเดียวกับ พลัม ลูกพีชและแอพริคอต เมล็ดของอัลมอนด์ จะมีเปลือกหนาและแข็ง ความจริงแล้วอัลมอนด์ที่เรานำมารับประทานกันนั้นไม่ได้เป็นถั่ว หากแต่เป็นส่วนของเมล็ด และที่เราซื้อมารับประทานกันนั้นมักจะเอาส่วนเปลือกแข็งๆ (Shell almond) ออกไปแล้ว อัลมอนด์จัดว่ามีสารอาหารมากที่สุดในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหมด เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ
คุณค่าทางอาหารของอัลมอนด์ (Almond)
ประโยชน์ของอัลมอนด์
- ให้พลังงานสูง ไขมันดี ทานแล้วไม่อ้วน อัลมอนด์ 1 เม็ด ให้พลังงาน 7 แคลอรี่
- ในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย อัลมอนด์มีสารอาหารมากที่สุด โดยเฉพาะโปรตีน จึงช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้วอัลมอนด์ให้โปรตีนสูงถึง 21.15%
- บำรุงประสาท บำรุงสมอง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในอัลมอนด์มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ใน
- ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึม วิตามิน B6 ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึมในการเผาผาญโปรตีน ที่จะนำไปซ่อมแซมเซลล์สมอง วิตามิน B6 ยังช่วยเพิ่มขบวนการสร้างสารสื่อประสาท ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสัน
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ที่มีความสำคัญในการลดการอุดตันของเส้นเลือด การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันดี และลดระดับไขมันเลวหรือ LDL มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า หากรับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 2 หยิบมือจะช่วยลดระดับ LDL ได้ถึง 9.4%
- การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยในเรื่องโรคหัวใจโดยตรง เมื่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดน้อย เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำงานได้ดี กรดโฟลิกในอัลมอนด์ยังช่วยในการสลายไขมันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด ช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยีดหยุ่นดีขึ้น มีรายงานการวิจัยว่าการรับประทานอัลมอนด์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้มากถึง 50 %
- ป้องกันโรคเบาหวาน เพราะจะไปช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
- อัลมอนด์มีโพแทสเซี่ยมสูง ซึ่งนั่นจะเป็นตัวช่วยลดปริมาณโซเดี่ยมในร่างกายและช่วยลดความดันเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
- มีประโยชน์สำหรับผู้ชายสูงอายุ เพราะโพแทสเซี่ยมที่พบในปริมาณที่มาก จะไปทำงานร่วมกับสารตัวอื่นๆในอัลมอนด์ เพื่อช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterrone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย
- ช่วยลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ทำให้ฟันแข็งแรง เพราะอัลมอนด์มีแคลเชี่ยมและแมกนีเซี่ยมอยู่ในปริมาณที่สูง
- ช่วยเรื่องผิวพรรณ บำรุงผม และเล็บ เพราะอัลมอนด์มีแร่ธาติ ไขมันและวิตามินอีสูง
- ช่วยในการลดน้ำหนัก เมื่อทานอัลมอนด์เป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน หรือของกินจุกจิก เพราะอัลมอนด์จะมีใยอาหารที่อุ้มน้ำได้เยอะ ทำให้รู้สึกอิ่ม เวลาที่ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนก็จะทำให้ไม่ค่อยหิว
- มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะสาร Alpha-tocopherol ที่พบในวิตามิน E เท่านั้น จึงช่วยชลอการเกิดริ้วรอย ทำให้แก่ช้า อัลมอนด์ 30 กรัม ประมาณ 1 กำมือ ให้วิตามิน E ในปริมาณ 65% ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน
ข้อเสียของอัลมอนด์
ดูเหมือนว่าอัลมอนด์จะมีคุณประโยชน์แบบมากมายมหาศาล แถมอร่อยจนหยุดไม่ได้ แต่อัลมอนด์ก็มีโทษเหมือนกันหากรับประทานไม่ถูกชนิด ไม่ถูกวิธี ในสหรัฐอเมริกา มีอัลมอนด์มีอยู่ 2 ชนิดคือ ชนิดหวานกับชนิดขม ชนิดหวานนิยมรับมารับประกันแบบสดๆ หรือนำไปคั่วอบเสียก่อน ส่วนชนิดขมนั้นจะหาซื้อได้ยาก ที่เป็นอันตรายเพราะจะมีสาร Hydrocyanic acid (Prussic acid) และ Hydrogen cyanide ซึ่งเวลาดมดูจะได้กลิ่นไซยาไนด์ ซึ่งสารทั้งสองชนิดเป็นพิษต่อร่างกาย แค่รับประทานอัลมอนด์ชนิดขมแบบดิบเข้าไปเพียง 1 ออนซ์ก็เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายได้ แต่หากทำให้เมล็ดอัลมอนด์สุกสารพิษเหล่านี้ก็จะสลายไป ในบางประเทศการขายอัลมอนด์ดิบถือว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมาย ที่เราเห็นวางขายกันนั้นมักจะถูกลวกหรือทำลายสารพิษด้วยน้ำร้อนมาแล้ว
นอกจากนี้แล้ว ในอัลมอนด์ยังมีสารออกซาเลต (Oxalates) หากรับประทานมากเกินไปอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคถุงน้ำดี ถึงแม้ถั่วชนิดนี้จะมีคุณประโยชน์มากมายขนาดไหน ก็ควรรับประทานกันแต่พอดีๆ นะคะ
คำแนะนำในการรับประทานอัลมอนด์
เมล็ดอัลมอนด์แช่น้ำจะย่อยง่ายกว่า โดยเฉพาะเด็กและผู้ที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป วิธีการก็คือเพียงแค่นำเมล็ดอัลมอนด์ไปแช่ในน้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามคีน จากนั้นก็นำมารับประทาน หรือทำเป็นนมอัลมอนด์ โดยปั่นรวมกับน้ำแล้วกรองแยกเอากากออก ที่อัลมอนด์แช่น้ำมีประโยชน์กว่า ก็เป็นเพราะว่าปรกติในเปลือกสีน้ำตาลที่หุ้มของเมล็ดอัลมอนด์จะมีสารยับยั้งไม่ให้มีการปลดปล่อยเอ็นไซม์ เพื่อไม่ให้เมล็ดอัลมอนด์งอกเป็นต้น หลังจากแช่น้ำแล้วสารอาหารในอัลมอนด์จะเพิ่มขึ้น เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ เหมือนกับที่เวลาเมล็ดได้รับน้ำหรือความชุ่มชื้น ขบวนการทางเคมีภายเมล็ดจะเปลียนแปลงทำให้เมล็ดพืชงอกออกมาเป็นต้นนั่นเอง ร่างกายของเราก็จะย่อยและดูดซึมเอาสารอาหารที่ประโยชน์เหล่านั้นไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แถมเนื้ออัลมอนด์จะนิ่มและเคี้ยวง่ายขึ้นอีกด้วย
วิธีแช่เมล็ดอัลมอนด์
ใส่เมล็ดอัลมอนด์ ½ ถ้วย ในน้ำสะอาด 2 ถ้วย แช่ทิ้งไว้ข้ามคืน ประมาณ 10-12 ชั่วโมง วันถัดมาให้รินน้ำทิ้ง แล้วนำอัลมอนด์ไปใส่ในกระปุกหรือถุงพลาสติก แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งการทำแบบนี้เราจะสามารถเก็บอัลมอนด์ไว้รับประทานได้เป็นอาทิตย์ เมล็ดอัลมอนด์ที่กำลังงอกจะนิ่มและมีรสชาติที่หวานขึ้น